
หายตัวไป 27 ปี เจอตัวอีกทีในหุบเขา
ชีวิตล่าสุด ‘ตุ๊ก วิมลเรขา’ อดีตผู้ประกาศดัง ออกวงการ 1 ครั้งเปลี่ยนคำนำหน้าตลอดชีวิต
หากย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปี อดีตนางเอกละครโทรทัศน์ที่แจ้งเกิดในวงการบันเทิง และได้รับความนิยมในหลากหลายบทบาท ทั้งการแสดง และเป็นพิธีกร อย่าง ‘วิมลเรขา ศิริชัยราวรรณ’
หรือ ‘ตุ๊ก วิมลเรขา’ ที่นับว่าเป็นอีกหนึ่งคนที่เติบโตในเส้นทางบันเทิงหลายปี แต่ในอีกมุมหนึ่งที่เธอไม่เคยทิ้ง นั่นก็คือการศึกษา จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
หลังจากโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงสักระยะก็ศึกษาต่อปริญญาโท และล่าสุดจบปริญญาเอกจากคณะและมหาวิทยาลัยเดิม เป็น ‘ดร.วิมลเรขา ศิริชัยราวรรณ’ หรือ ‘ดร.ตุ๊ก’
พร้อมกับหันหลังจากวงการบันเทิงไปเป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ที่ มหาวิทยาลัยพะเยา จังหวัดพะเยา ด้วยแรงบันดาลใจในการเป็นครู ที่มุ่งมั่นว่าจะสร้างลูกศิษย์ให้มีคุณภาพ
นำความรู้ไปใช้ในการสร้างความยุติธรรมในสังคม โดยเฉพาะในท้องถิ่นภาคเหนือ พื้นที่ที่เธอไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยความประทับใจและมีความสุขมากในวันนี้
‘ตุ๊ก วิมลเรขา’ เข้าสู่วงการเมื่อปี 2538 โดยในช่วงนั้นอดีตนางเอกเพิ่งจบปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสอบตั๋วทนายผ่าน สามารถเป็นทนายเต็มตัวได้แล้ว
แต่ยังไม่มีใครทราบ ในช่วงเดียวกันก็มีโอกาสได้พาเพื่อนไปคัดนักแสดง แต่จับพลัดจับผลู กลายเป็นตัวเองที่ได้งาน โดยประเดิมละครเรื่องแรกคือ ‘ขุนศึn’ ละครชื่อดังในยุคนั้น
เส้นทางในวงการบันเทิงของเธอต่อจากนั้น ‘ตุ๊ก วิมลเรขา’ มีโอกาสสัมผัสกับ งานพิธีกร ได้มีโอกาสเห็นและสัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ได้ไปดูสถานที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย
หลังจากนั้นได้กลับมาเรียนต่อเนติบัณฑิต ต่อด้วยปริญญาโทและปริญญาเอก ที่มหาวิทยาลัยเดิม จนจบ “ตอนแรก ‘ตุ๊ก’ ไม่เคยคิดว่าจะมาได้
เพราะยังติดงานวงการบันเทิงอยู่ แต่คงเป็นเพราะชะตาฟ้าลิขิต ไหนๆ เรียนมาทางด้านนี้แล้วก็ต่อไปให้ถึงปลายสุดเลย เพราะยังไม่มีดาราที่จบปริญญาเอกทางด้านกฎหมายในตอนนั้น
เปลี่ยนหน้าที่ในการรับผิดชอบพยายามทำให้ดีที่สุดแบบที่จะเป็นได้ในวิชาชีพนั้น ไม่ว่าจะเป็นดาราก็ตั้งใจ เป็นทนายก็ตั้งใจ มาเป็นครูก็ตั้งใจ พยายามหาจุดที่มันเป็นความสุขให้ได้
อีกจุดที่ทำให้เปลี่ยนมาอยู่ต่างจังหวัดในหุบเขา คือเริ่มเบื่อเมืองหลวง เป็นยุคที่มีคนรู้เยอะมาก แต่ว่าเรากำลังใช้กฎหมายที่เข้าข้างตนเอง
ในเชิงที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ประชาชนเกิดความไม่เชื่อมั่น เป็นยุคของโซเชียลมีเดีย
เลยคิดว่าในรอบนอกที่เขาจะต้องพัฒนาตนเอง ควรที่จะต้องมีต้นแบบในวงการนี้ที่จะเติบโตขึ้นมา เป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเรา ควรต้องปรับใหม่ตั้งแต่แรก จึงคิดว่าเป็นจุดนึงของชีวิตที่จะได้ทำ
ตอนนี้ทิ้งงานทุกอย่างในกรุงเทพฯ ทั้งหมด ในวันข้างหน้าอาจจะต้องบริหารจัดการให้ดีขึ้น ไม่ได้มีเป้าหมายที่สูงสุดในชีวิตอะไรมาก คือเป็นอะไรก็ได้แล้วมีความสุขกับมัน และทำให้ดีที่สุดค่ะ”